เกี่ยวกับ JPT

การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JPT คือ?

    JPT หรือ Japanese Proficiency Test เป็นข้อสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นรูปแบบใหม่ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงยุติธรรม ประเทศญี่ปุ่น ถูกออกแบบมาเพื่อผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดผลและประเมินทักษะการสื่อสาร
    ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อหรือทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ข้อสอบ JPT มีรูปแบบการสอบคล้ายกับข้อสอบ Toeic แบ่งเป็นข้อสอบฟังและข้อสอบอ่านอย่างละ 100 ข้อ รวมทั้งสิ้น 200 ข้อ 990 คะแนน สำหรับช่วงคะแนนของแต่ละพาร์ทจะแบ่งออกเป็น 5-495 คะแนน
    ระบบการสอบ JPT เป็นการสอบผ่านทางคอมพิวเตอร์ โดยใช้เวลาทั้งหมด 95 นาที แบ่งเป็นข้อสอบฟัง 45 นาที และข้อสอบอ่าน 50 นาที สำหรับผลคะแนนจะไม่มีการระบุเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่านแต่เกณฑ์คะแนนจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่นำไปใช้และวัดทักษะของผู้สอบได้อย่างแท้จริง ข้อสอบ JPT เป็นข้อสอบที่ช่วยให้ผู้เข้าสอบรับรู้ความสามารถของตนเอง ณ ปัจจุบัน โดยไม่ต้องประเมินตนเองก่อนล่วงหน้าและผู้สอบยังสามารถรู้ผลคะแนนหลังจากสอบเพียง 2 สัปดาห์อีกด้วย

สนามสอบ:

สนามสอบ

ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คณะบัญชีฯ หมายเลขห้อง CH211 อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยพายัพ

ดูข้อมูลสนามสอบ

จุดเด่นของ JPT?, สัดส่วนคะแนน และ ความแตกต่างระหว่าง JPT และ JLPT >>>

จุดเด่นของ JPT

1.จัดสอบ 6 ครั้งต่อปี
 จัดสอบหลายครั้งต่อปี ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการสอบหลายครั้ง หรือผู้ที่ต้องการไปศึกษาต่อหรือทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น
2.ใช้มาตรฐานเดียวกันในการสอบ
 รูปแบบการสอบแบบ 4 ตัวเลือกโดยเนื้อหาข้อสอบจะครอบคลุมตั้งแต่ส่วนของผู้สอบระดับต้นไปจนผู้สอบระดับสูง ดังนั้นผู้เข้าสอบที่มีระดับต่างกันจึงสามารถสอบรวมกันได้ในครั้งเดียว และยังสามารถรับรู้ความสามารถที่แท้จริงโดยไม่ต้องประเมินตนเองก่อนล่วงหน้า
3.ความเร็วในการตรวจข้อสอบ สามารถรู้ผลสอบหลังจากวันสอบเพียงแค่ 2 สัปดาห์!
 รู้ผลไวไม่ต้องรอนาน การประกาศผลสอบจะประกาศหลังจากการสอบไปแล้วเพียง 2 สัปดาห์ ผ่านทางเว็บไซต์ https://jptthailand.web.app/
4.ส่วนเนื้อหาข้อสอบ
 เนื้อหาในข้อสอบทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์ เป็นเนื้อหาที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันไปจนถึงบทสทนาเชิงธุรกิจ ทำให้ผู้สอบวัดทักษะการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้อย่างแม่นยำ
5.การแสดงผลคะแนนสอบ
 ผลคะแนนสอบจะไม่มีการระบุว่าสอบผ่านหรือไม่ผ่าน แต่จะแจ้งผลคะแนนที่แบ่งเป็นช่วงละ 5 คะแนนคือ ข้อสอบการฟัง 5 – 495 คะแนน ข้อสอบการอ่าน 5 – 495 คะแนน
คะแนนรวมทั้งสิ้น 10 – 990 คะแนน
 การวัดระดับเป็นคะแนนจะทำให้ผู้สอบรับรู้ความสามารถ ณ ปัจจุบันของตนเองและสามารถฝึกฝนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายต่อไปได้
6.สามารถสอบซ้ำได้
 เนื่องด้วยข้อสอบมีความยากคงที่ ดังนั้นการสอบซ้ำจะช่วยให้ผู้สอบวัดพัฒนาการของตนเองได้ และเป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้คะแนนดีขึ้น
7.การสอบที่ต้องการคำตอบโดยทันที
 เนื่องด้วยเป็นข้อสอบที่ต้องสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์และต้องการคำตอบโดยทันที จึงทำให้ผู้สอบวัดความสามารถในการสื่อสารได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่เนื้อหาที่เกี่ยวกับบทสนทนาในชีวิตประจำวันไปจนถึงบทสนทนาเชิงธุรกิจ เพื่อวัดทักษะด้านการสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ
8.คำนวณคะแนนโดยใช้การประมวลผลทางสถิติ
 คะแนนเป็นแบบค่าเฉลี่ยจากคะแนนเต็ม 990 คะแนน ซึ่งคำนวณโดยกระบวนการทางสถิติที่เรียกว่า “ระบบการเทียบคะแนน”

รายละเอียดสัดส่วนคะแนน

การสื่อสารภาษาญี่ปุ่นในทุกสถานการณ์

คะแนน

การฟัง

การอ่าน

880 คะแนนขึ้นไป  เข้าใจความแตกต่างของบทสนทนาในบริบทต่างๆ รวมถึงสามารถสื่อสารและเข้าใจเจตนาของผู้พูดได้อย่างถูกต้อง  มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาญี่ปุ่นได้อย่างถูกต้อง
 สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดในการประชุม การเจรจาต่อรอง และการพูดคุยทางโทรศัพท์  เข้าใจการเขียนเชิงธุรกิจได้อย่างถูกต้อง
 สามารถใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมและคล่องแคล่วขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ  เชี่ยวชาญเรื่องการใช้ไวยากรณ์และคำศัพท์
 ใช้คำศัพท์และเนื้อหาการสนทนาได้ถูกต้อง  มีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์เล็กน้อย
การใช้ภาษาญี่ปุ่นสื่อสารในสถานการณ์ที่หลากหลายอย่างเหมาะสม

คะแนน

การฟัง

การอ่าน

740 คะแนนขึ้นไป  เข้าใจสิ่งที่ได้ยินและสามารถอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันได้  มีความรู้เรื่องคำศัพท์และไวยากรณ์ที่หลากหลาย
 สามารถเตรียมสคริปต์ในการนำเสนอและนำเสนอหัวข้อที่ตัวเองสนใจต่อหน้าผู้ฟังหลายๆ คนได้  สามารถสรุปสาระสำคัญของการประชุมได้
 เข้าใจและสามารถตอบคำถามของผู้พูดท่านอื่นในการประชุม การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ และการคุยโทรศัพท์ได้  สามารถเข้าใจมุมมองและความคิดเห็นที่แตกต่าง
บทสนทนาในชีวิตประจำวันในขอบเขตการใช้ภาษาญี่ปุ่นที่จำกัด

คะแนน

การฟัง

การอ่าน

610 คะแนนขึ้นไป  เข้าใจบทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  สามารถเข้าใจคำสั่งและบทความได้บางส่วน
 เข้าใจเนื้อหาการประชุมและเนื้อหาการเจรจาต่อรองที่ไม่ซับซ้อน  เข้าใจสำนวนและคำศัพท์ได้ในระดับหนึ่ง
 ทักษะการใช้ภาษาญี่ปุ่นในการตอบโต้ในสถานการณ์ต่างๆ ดีพอใช้  มีความรู้เรื่องไวยากรณ์อยู่ในระดับกลาง
เนื้อหาง่าย ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

คะแนน

การฟัง

การอ่าน

460 คะแนนขึ้นไป  เข้าใจบทสนทนาง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  สามารถเข้าใจค่ำสั่งหรือบทความง่ายๆ
 สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ บรรยายหัวข้อทั่วไป เช่น งานอดิเรก ครอบครัว สภาพอากาศ ฯลฯ  การจับใจความสำคัญของข้อมูลและการสร้างประโยคอยู่ในขอบเขตที่จำกัด
 สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นแนะนำหรือพูดเรื่องเกี่ยวกับตนเองแบบสั้นๆ ได้  ต้องศึกษาในส่วนของคำศัพท์ ไวยากรณ์ และคันจิเพิ่มเติม
ทักษะการสื่อสาร การทักทายละการแนะนำตัวสำหรับผู้เริ่มต้น

คะแนน

การฟัง

การอ่าน

315 คะแนนขึ้นไป  เข้าใจเนื่อหาเกี่ยวกับงานอดิเรก ครอบครัว และหัวข้อง่ายๆ อื่นๆ ได้ ในกรณีที่ผู้พูดสื่อสารอย่างช้าๆ  เข้าใจแค่คำศัพท์หรือวลีที่ง่ายๆ
 สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นระดับต้นในการทักทายผู้อื่นได้  ยังไม่สามารถประกอบประโยคให้สมบูรณ์ได้
 สามารถพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของตนเองได้  เข้าใจบันทึกง่ายๆ
ไม่สามารถสื่อสารหรืออ่านภาษาญี่ปุ่นได้

คะแนน

ต่ำกว่า 315 คะแนน  ไม่สามารถอ่านหรือเข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้

ความแตกต่างระหว่าง JPT และ JLPT

    - JLPT จะวัดผลแยกย่อยออกเป็น 5 ระดับตั้งแต่ระดับ N5 ไปจนถึง N1 แต่ JPT จะวัดผลเป็นคะแนน จึงทำให้ผู้สอบสามารถวัดพัฒนาการทักษะภาษาญี่ปุ่นในการสอบแต่ละครั้งได้และได้ผลการประเมินที่แม่นยำ นอกจากนี้ JLPT จะจัดสอบเพียงแค่สองครั้งต่อปี ในขณะที่ JPT จะจัดสอบหกครั้ง จึงทำให้ผู้สอบมีโอกาสในการสอบมากขึ้น

    - ปัจจุบันคะแนน JPT ได้รับการยอมรับจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงยุติธรรม ประเทศญี่ปุ่นในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การจ้างงานจากบริษัท การเลื่อนตำแหน่ง การคัดเลือกแรงงานต่างชาติและการวัดผลหลังจากการอบรมภาษาญี่ปุ่น สำหรับผู้ที่ต้องการไปศึกษาต่อหรือทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นต้องได้คะแนน JPT อย่างน้อย 315 คะแนนขึ้นไป

    ลิงก์เว็บไซต์กระทรวงยุติธรรม ประเทศญี่ปุ่น:  กดเพื่อดูข้อมูลดังกล่าว

ตารางเปรียบเทียบคะแนน JPT และ JLPT

JLPT

JPT

N1 660 – 990 คะแนน
N2 525 – 660 คะแนน
N3 430 – 525 คะแนน
N4 375 – 430 คะแนน
N5 315 – 375 คะแนน